หน่วยการเรียน​รู้​ที่​ 4

หลักธรรมสำคัญของศาสนา                                


           ในแต่ละศาสนาจะมีหลักธรรมคำสอนปลีกย่อยแตกต่างกัน เพื่อให้ผู้ประพฤติปฏิบัติไปสู่จุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนา แม้คนไทยส่วนใหญ่จะนับถือพระพุทธศาสนา  แต่ก็มีคนไทยอีกส่วนหนึ่งที่นับถือศาสนาแตกต่างกันไป ซึ่งทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข เพราะทุกศาสนามีหลักธรรมคำสอนที่สอดคล้องกัน  คือ สอนให้ทุกคนละเว้นจากการทำความชั่ว ให้ทำความดี มีความรักและความเมตตาต่อกัน


ศาสนาสำคัญในประเทศไทย

   ประเทศไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติแต่ไม่มีการกีดกั้นศาสนาอื่นๆ อีกทั้งยังให้การสนับสนุนและส่งเสริมศาสนาอื่นๆมาช้านาน จึงมีศาสนาสำคัญๆในประเทศไทย ดังนี้

ศาสนาพุทธ
   พระพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นศาสนาที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือและถือว่าเป็นศาสนาประจำชาติ ที่มีอิทธิพลครอบคลุมไปถึงระบบการปกครอง กริยามารยาทตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีไทย แม้แต่คนไทยที่นับถือศาสนาอื่นๆก็ยอมรับในธรรมเนียมประเพณีและมารยาทเหล่านั้นเพราะเห็นว่าเป็นของไทย หลักธรรมสำคัญของศาสนาพุทธ คือ การทำความดีไม่ทำความชั่วทั้งปวงและทำจิตใจให้บริสุทธิ์ การจะเป็นคนดีนั้นต้องปฏิบัติตามหลักธรรม คำสั่งสอนของพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหลักธรรมสำคัญ คือ อริยสัจ 4 เบญขันธ์และไตรลักษณ์
   อริยสัจ 4
   อริยสัจ 4 เป็นหลักความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งเป็นหลักธรรมที่สอนคนให้เข้าใจปัญหา แล้วแก้ไขปัญหาได้มีอยู่ 4 ประการ คือ
      1. ทุกข์ คือความทุกข์หรือปัญหา ชีวิตของทุกคนในโลกนี้มีปัญหาทั้งปัญหาทั่วไป และปัญหาสากล เช่น ปัญหาความเป็นอยู่ ปัญหาปากท้อง ปัญหาการอยู่ร่วมกับคนผู้อื่น ปัญหาการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อมีปัญหาก็จะเป็นความทุกข์มีทั้งทุกข์กาย ทุกข์ใจและทุกข์จาก การยึดมั่นในตัวเอง เป็นต้น
      2. สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา โดยสอนว่าปัญหาเกิดมาจาก สาเหตุหรือปัจจัยที่เรียกว่า ตัณหาหรือความอยากต่างๆ ซึ่งจะแสดงออกมา 3 ลักษณะคือ กามตัณหา คือ ความอยากได้ในสิ่งที่เป็นพื้นฐานของโลก เช่น บ้าน รถ แหวนเพชร เป็นต้น ภวตัณหา คือ ความอยากมี อยากเป็น อยากได้หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อยากมี บ้านหลังใหญ่ ความเป็นดารา อยากได้เงินมากๆ วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากได้ และหนีให้พ้นจากสภาพที่ไม่ต้องการเช่น ไม่อยากเป็นโจร ไม่อยากพิการ ไม่อยากเป็นคนจน เป็นต้น
      3. นิโรธ คือ การดับทุกข์หรือการแก้ปัญหาให้มีสภาพที่ไม่ทุกข์ต่อไปอีก โดยเชื่อว่า มนุษย์มีความสามารถที่จะพัฒนาตนเองไปเป็นผู้แก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจศักดิ์สิทธ์ใดๆ มาดลบันดาลให้เป็นไป
      4. มรรค คือ ทางดับทุกข์หรือแนวทางการแก้ปัญหา ซึ่งมีข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อยู่ 8 ประการเรียกว่า มรรค 8หรือ มัณชิมาปฏิปทาน แปลว่า ทางสายกลางซึ่งประกอบด้วย
         4.1 สัมมาทิฎฐิ (เห็นชอบ) คือเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริง เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น
         4.2 สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ) คือการนึกคิดในสิ่งที่ถูกต้อง คิดที่จะปราศจากโลภ พยาบาท ปองร้ายผู้อื่นและไม่เบียดเบียนผู้อื่น
         4.3 สัมมาวาจา (วาจาชอบ) ได้แก่การพูดด้วยถ้อยคำที่ไม่มีโทษหรือคำสุภาพ จะเว้นการพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ่อ พูดให้แตกความสามัคคี
         4.4 สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ) ได้แก่การกระทำที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
         4.5 สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) หมายถึง การเลี้ยงชีพด้วยการประกอบอาชีพสุจริต ไม่ประกอบอาชีพทุจริต ค้าอาวุธ ค้ายาเสพติด ฆ่ามนุษย์ เป็นต้น
         4.6 สัมมาวายามะ (พยายามชอบ) หมายถึง การสะสมความเพียรพยายามไม่ให้เกิดความชั่วขึ้นในจิต ละความชั่วที่เกิดขึ้นให้หมดไป สร้างความดีขึ้นมาเพิ่ม แล้วรักษาความดีที่มีอยู่แล้วให้คงอยู่ตลอดไป
         4.7 สัมมาสติ (ระลึกชอบ) หมายถึง การมีความระลึกรู้ตัว หรือระลึกรู้กายทำให้เกิดประโยชน์ คือ สามารถควบคุมสภาพจิตใจให้อยู่ในภาวะที่ต้องเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ยึดติดกับปัญหา อุปทาน สามารถทำพฤติกรรมต่างๆด้วยเหตุผลของตัวเอง
         4.8 สัมมาสมาธิ (ตั้งใจมั่น) หมายถึง การมีจิตใจแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน ลังเลสงสัย ทำให้กิเลสต่างๆ สงบไป
 เบญจขันธ์
   ไตรลักษณ์ แปลว่า สามัญลักษณะหรือลักษณะ 3 ประการของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทั่วไป ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติที่มีอยู่ในสรรพสิ่ง เป็นหลักที่แน่นอนตายตัว เป็นความจริงที่เกิดขึ้น มีองค์ประกอบ 3 ประการคือ
   อนิจจตา คือความไม่เที่ยง ความไม่ยั่งยืน ความไม่ถาวร ความไม่คงที่ ภาวะที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไป ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน มีเกิดขึ้น ดำรงอยู่และเสื่อมสลายไปในที่สุด ควรรู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เกิดขึ้น
   ทุกขตา คือ ความเป็นทุกข์ ภาวะที่ทนไม่ได้ เป็นความทุกข์กาย ทุกข์ใจ เช่น ทุกข์เพราะการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์เพราะความรัก ความผิดหวัง รวมไปถึงทุกข์ของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต เป็นภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
   อนันตตา คือ ความไม่มีตัวตนหรือปราศจากาตัวตนที่แก้จริง สิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงหรือสังขารทุกชนิดเป็นสิ่งสมมุติขึ้น ดำเนินไปตามเหตุ ตามปัจจัย อย่าถือเป็นเรื่องจริงจังว่าตัวเรา ของเรา ซึ่งจะทำให้เกิดความลุ่มหลงและเป็นทุกข์ได้
   ทุกหลักคำสอนในศาสนาพุทธ เป็นสากล นำไปศึกษาปฏิบัติที่ไหนเมื่อไรก็เกิดประโยชน์และเกิดความสุขกับตนเอง คนรอบข้างและสังคมเพราะเป็นหลักความจริงตามธรรมชาติที่ไม่มีใครปฏิเสธได้โดยสิ้นเชิง

ศาสนาคริสต์
   ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแห่งประวัติศาสตร์ ยิ่งใหญ่และสำคัญศาสนาหนึ่งของโลก ที่มีพระเยซูเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นวิถีทางการดำเนินชีวิตในสังคมของผู้นับถือศาสนาองค์เดียว ปัจจุบันมีนิกายสำคัญๆ 3 นิกาย คือ โรมันคาทอลิก(Roman eatholie) กรีนออร์ธอดอกซ์(Greek Orthodox) และโปรเตสแตนต์ (Protestant) มีคัมภีร์ศาสนาเรียกว่า ไบเบิล (Bible) ซึ่งแบ่งเป้น 2 คัมภีร์คือ คัมภีร์เดิม (พันธสัญญาเดิม Old testament) ที่รับมาจากศาสนายูดาห์ และคัมภีร์ใหม่ (พันธสัญญาใหม่ New Testament ) ซึ่งเน้นบันทึกชีวิตและคำสอนของพระเยซูรวมทั้งเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ ตามความสำนึกของศาสนาคริสต์
หลักคำสอนที่สำคัญของศาสนาคริสต์
   1. เรื่องความรัก ศาสนาคริสต์ สอนให้รักพระเจ้า รักครอบครัว รักเพื่อนมนุษย์ทั้งมวล โดย ไม่เลือกชนชั้นและเชื้อชาติ ให้เมตตาผู้กระทำผิดโดยไม่ตั้งใจ เห็นใจผู้ที่มีทุกข์และอภัยแม้แต่ผู้ที่วางตัวเป็นศัตรู
   2. หลักตรีเอภานุภาพ เป็นการสอนให้ยึดมั่นเคารพบูชาในองค์ 3 คือ พระบิดา หมายถึง พระยะโฮวา คือผู้สร้างโลกมนุษย์และสรรพสิ่ง พระบุตร คือพระเยซูและพระจิต คือรวมบิดาและพระบุตร อันเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏในจิตวิญญาณของมนุษย์ เพื่อเกื้อกูลให้มนุษย์เป็นคนดี
   3. บาปกำหนด ( Original Sin) เมื่อพระเจ้าสร้างโลกได้สร้างชายหญิง คือ อาดัมและอีฟให้อยู่กินกันอย่างมีความสุข ต่อมาทั้งคู่ได้ทำผิดโดยแอบไปกินผลไม้ต้องห้าม พระเจ้าจึงลงโทษโดยให้ทั้งคู่ทำมาหากินลำบาก แล้วให้ความผิดนั้นตกทอดมาถึงมนุษย์ทุกคน บาปนี้จึงเรียกว่า บาปกำหนด
   4. บัญญัติ 10 ประการ เป็นหลักศาสนาที่อยู่ในคัมภีร์เดิม ซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่ โมเสส ถือเป็นหลักปฏิบัติสำหรับผู้นับถือศาสนาคริสต์มีดังนี้คือ
      4.1 เคารพพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว
      4.2 ห้ามนับถือรูปบูชาใด ๆ 
      4.3 อย่าออกนามพระเจ้าโดยไม่เคารพ
      4.4 จงถือวันพระเจ้าเป็นวันสำคัญ
      4.5 เคารพบิดามารดา
      4.6 ห้ามฆ่ามนุษย์
      4.7 ห้ามผิดประเวณี
      4.8 ห้ามลักทรัพย์
      4.9 ห้ามคิดมิชอบ
      4.10 อย่าโลภในสิ่งของผู้อื่น 

ศาสนาอิสลาม
   ศาสนาอิสลาม มีพระศาสดาคือ พระมะหะหมัดหรือนบีมูฮัมหมัด ที่นับถือพระอัลเลาะห์เป็นพระเจ้าองค์เดียว และเป็นศาสนาแห่งกฎหมายเพราะมีคัมภีร์กรุอาน ที่ชัดเจนในตัวนไปถือปฏิบัติได้ทันที ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเรียกว่า มุสลิมหรืออิสลามนิกชน มีหลักคำสอนสำคัญคือหลักศรัทธาหรือความเชื่อ 6 ประการกับหลักปฏิบัติ 5 ประการดังนี้
หลักศรัทธา 6 ประการ
   เป็นหลักบัญญัติในคัมภีร์กรุอาน ที่กำหนดให้ผู้ที่เป็นมุสลิมศรัทธาหรือเชื่อให้หลักสำคัญ ๆ 6 ประการดังนี้
   1.ศรัทธาในพระอัลเลาะห์องค์เดียว ไม่มีแบบอย่างใด ๆ ที่จะยกขึ้นมาเทียบเคียงพระองค์ได้
   2. ศรัทธาในศาสดาองค์ก่อน ๆ และมีศรัทธาเชื่อมั่นว่าพระมะหะมัดเป็นศาสดาองค์สุดท้าย ชาวมุสลิมจะต้องเชื่อในบรรดามะลาอีกะห์(ทูตสวรรค์) ซึ่งมีจำนวนมากและมีหน้าที่ต่างๆ กันทุกองค์จะประกอบแต่ความดีละเว้นความชั่ว
   3. ศรัทธาในคัมภีร์กรุอาน โดยเชื่อว่าพระอัลเลาะห์ได้ประทานมาให้เป็นคัมภีร์สุดท้ายและสมบูรณ์ที่สุด
   4. ศรัทธาในบรรดาศาสนาทูต ศาสนาฑูตเป็นบุคคลที่พระเจ้าเลือกขึ้นมาเพื่อนำคำสั่งสอนของพระองค์ไปสู่มนุษย์ซึ่งมีหลายคน มุสลิมทุกคนต้องศรัทธาในศาสดาทุกองค์ที่กล่าวในคัมภีร์
   5. ศรัทธาในวันพิพากษาโลก ซึ่งเป็นวันที่มนุษย์ทุกคนจะพบกับการเปลี่ยนแปลงแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ เพื่อรับผลกรรมจากการกระทำที่ได้ทำไว้ ผู้ทำดีก็ได้รับผลดี ผู้ทำชั่วก็จะได้รับผลร้าย เป็นต้น
   6. ศรัทธาในกฎสภาวการณ์ของพระเจ้า คือการเชื่อว่าสภาวะของโลกและชีวิตเป็นไปตามอำนาจของพระอัลเลาะห์ ที่ตั้งขึ้น
หลักปฏิบัติ 5 ประการ 
   เมื่อชาวมุสลิมมีศรัทธา 6 ประการแล้ว จะต้องแสดงออกถึงความสำนึกด้วยการปฏิบัติตามหลักปฏิบัติ 5 ประการที่สอดคล้องกันเพื่อให้ความสุขความสันติแก่ตนเองและสังคม ดังนี้
   1.การปฏิญาณตน ว่าจะศรัทธาเชื่อมั่นในพระอัลเลาะห็ องค์เดียวและมีมะหะมัดเป็นศาสนาทูตของพระอัลเลาะห็ โดยต้องปฏิญาณออกมาจากจิตใจด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง แล้วทำอย่างสม่ำเสมอ
   2. การละหมาด คือ การแสดงควาเคารพตาอพระเจ้า วันละ5 ครั้ง คือ ย่ำรุ่ง กลางวัน เย็น พลบค่ำ และกลางคืน โดยหันหน้าไปทางนครเมกกะฮ์ ก่อนละหมาดต้องทำกายและใจให้สะอาด สงบ การละหมาดจะช่วยขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์หนักแน่น มั่นคงและอดทนในการทำความดี
   3. ชาวมุสลิมต้องถือศีลอดเป็นเวลา 1 เดือน เรียกว่าเดือนรอมฏอน ด้วยการงดเว้นจากการรับประทานอาหาร การดื่ม การร่วมประเวณี การทำความชั่วทั้งปวง ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก ซึ่งนอกจากจะฝึกความอดทนแล้ว ยังสร้างความเท่าเทียมกันหรือความเสมอภาคให้กับมุสลิมทุกคนด้วย
   4. การบริจาคซากาต คือการที่ชาวมุสลิมจะต้องบริจาคทรัพย์สิน 2.5เปอร์เซ็นของรายได้ต่อปีเพื่อไว้ช่วยเหลือผู้ยากจน เป็นการทำให้สังคมของชาวมุสลิม มีสภาพดีขึ้นและยังเป็นการลดความตระหนี่และความเห็นแก่ตัวของบุคคลได้
   5. การประกอบพิธีฮัจญ์ คือการไปแสวงบุญที่วิหารกะบะห์ นครเมากกะประเทศซาอุดิอาระเบีย ด้วยในคัมภีร์กรุอาน ได้กล่าวไว้ว่าเป็นความประสงค์ของอัลเลาะห์ ที่ให้มุสลิมซึ่งบรรลุนิติภาวะ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีกำลังทรัพย์ไปบำเพ็ญพิธีฮัจญ์ เพื่อเป็นการแสดงถึงความเสมอภาคและความสามัคคีของชาวมุสลิมทั่วโลก
นอกจากศรัทธา และหลักปฏิบัติ 5 ซึ่งเป็นการปฏิบัติศาสนากิจโดยตรงแล้วในคัมภีร์กรุอานยังมีบัญญัติเงื่อนไขต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตที่ชาวมุสลิมต้องปฏิบัติ เช่น การเกิด การสมรส การตาย การปฏิบัติในวันศุกร์และวันสำคัญทางศาสนา ฯลฯ อีกทั้งยังมีข้อห้ามอีกหลายประการที่ชาวมุสลิมพึงงดเว้น

ศาสนาพราหมณ์
   หลักอาศรม 4
       อาศรม 4 หมายำถึง ขั้นตอนของชีวิตหรือแนวทางปฏิบัติตามวัยเพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น แบ่งเป็น 4 ระยะคือ
         1.พรหมจารี เป็นระยะของวัยศึกษาเล่าเรียน เริ่มตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ถึง 25 ปี โดยเด็กชายทุกคน ในตระกูลพราหมณ์จะได้รับการคล้องด้ายศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า สายธุรำ จากผู้ประพฤติพรหมจรรย์จึงจะถือว่าเป็นพราหมณ์โดยสมบูรณ์
         2. คฤหัสถ์ เป็นระยะของวัยครองเรือน อยู่ในช่วงอายุ 25 ปีถึง 50 ปี คือ เมื่อจบการศึกษาแล้วก็มีครอบครัวประกอบอาชีพและปฏิบัติพิธีกรรมตามหน้าที่ของตน
         3. วานปรัสถ์ เป็นระยะออกบวช เพื่อแสวงหาความสงบหรือความหลุดพ้นหากไม่ละทิ้งชีวิตครองเรือนก็ต้องบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น
         4. สันยาสี เป็นระยะสุดท้ายของชีวิต จะออกบวชจาริกแสวงบุญบำเพ็ญเพียรตามหลักศาสนาเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ไม่มีการเกิดอีกคือ โมกษะ
   หลักปุรษารถะ
      การดำเนินชีวิตที่ดีเพื่อให้พบความหลุดพ้น ซึ่งมีจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตโดยจะต้องมีหลักฝึก 4 ประการคือ
         1. อรรถ คือ การแสวงหาทรัพย์ การสร้างฐานะทางเศรษฐกิจให้มั่นคง
         2. กาม คือ การแสวงหาความสุขทางโลกตามหลักธรรมชาติของผู้ครองเรือน
         3. ธรรม คือ การถึงพร้อมด้วยคุณธรรม หลักธรรม หรืออยู่ในระเบียบความประพฤติของคนในสังคม
         4.โมกษะ คือ ความหลุดพ้นจากความทุกข์ เป็นอิสรดภาพทางวิญญาณที่จะก่อให้เกิดความสุขอันเป็นนิรันดร์
   หลักปรมาตมันและโมกษะ
      ปรมาตมัน คือ ลักษณะของการเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุดผู้ใดประพฤติดีก็จะไปเกิดในวรรณะที่ดี ผู้ใดประพฤติชั่วก็จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
      โมกษะ คือ การหลุดพ้นจากการเวียรว่ายตายเกิด ปราศจากกรรมผูกพันหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงไม่มีการเกิดอีกตลอดไป

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น